tag:blogger.com,1999:blog-55995797315389528532024-03-13T00:32:16.763-07:00เฉาก๊วยทำมาจากอะไร?GENGhttp://www.blogger.com/profile/12372490510187400396noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-5599579731538952853.post-32801775336539584652010-03-19T23:47:00.000-07:002010-03-19T23:50:38.169-07:00เฉาก๊วย แก้ร้อนใน เครื่องดื่ม<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiE83Ev-OopH5Qyv72PKJhgAgpRBT3biBjVj2-KDtQ03Q3iMJKRW3cON44DAyfSy69ytdMIC5FqybG-gRJMqrlC9rk1cDcZEbWfpOtFMdlVtj5BU9PhRw6_Krz4U95TObcxf-AC0xGqm02E/s1600-h/1.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 242px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiE83Ev-OopH5Qyv72PKJhgAgpRBT3biBjVj2-KDtQ03Q3iMJKRW3cON44DAyfSy69ytdMIC5FqybG-gRJMqrlC9rk1cDcZEbWfpOtFMdlVtj5BU9PhRw6_Krz4U95TObcxf-AC0xGqm02E/s320/1.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5450604593914264466" /></a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjn9yE8oGVVwBh9CAZrVyPMawT91nuGrYTFYbFdXHvmK0Gg3eMayP1eC9sV2iWM94XK4_ZipBAKzBfc_pzEwEvmJTpyJmm5Cf3oJxmeVwFjnyphEnNif9oPMN-1QqYGfIM0RqdsdPxvx90F/s1600-h/2.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 250px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjn9yE8oGVVwBh9CAZrVyPMawT91nuGrYTFYbFdXHvmK0Gg3eMayP1eC9sV2iWM94XK4_ZipBAKzBfc_pzEwEvmJTpyJmm5Cf3oJxmeVwFjnyphEnNif9oPMN-1QqYGfIM0RqdsdPxvx90F/s320/2.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5450604586667848402" /></a><br /><br /><strong>เฉาก๊วยทำมาจาก </strong><br />หญ้าชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับมินต์ มีชื่อเรียกว่าอย่างเป็นทางการ ´Mesona chinensis´ ส่วนคนไทยเราจะเรียกหญ้าชนิดนี้ว่า ´หญ้าเฉาก๊วย´ หญ้าเฉาก๊วยสามารถพบได้มากในประเทศจีน ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ขนมหวานชนิดนี้จะมีที่มาจากเมืองจีน และมีชื่อเรียกเป็นภาษาจีนทว่า ในหมู่ของคนจีนเอง<br />ก็จะเรียกเจ้าขนมหวานชนิดนี้แตกต่างกันออกไปตามภาษาถิ่น เช่น ในภาษาจีนกลางจะเรียกว่า ´เหลียงเฝิ่น´ หรือ ´เซียนเฉ่า´ ที่แปลว่าหญ้าเทวดา ขณะที่ชาวมาเลย์จะเรียกว่า ´จินเจา´ เป็นต้น<br />เฉาก๊วย เป็นผลผลิตต่อเนื่องจากการแปรรูปต้นเฉาก๊วย ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ Lamiaceae (วงศ์มิ้นท์) วงศ์เดียวกับ สะระแหน่ กะเพรา โหระพา แมงลัก และ ยี่หร่า<br />วิธีทำเฉาก๊วยอย่างง่ายๆ คือ นำต้นเฉาก๊วยแห้งมาต้ม จนยางไม้และแพคตินละลายออกมาได้น้ำสีน้ำตาลดำ เรียกว่า ชาเฉาก๊วย จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำไปผสมกับแป้งพืช เพื่อให้เฉาก๊วยคงตัวเป็นเจลลี่ ซึ่งส่วนประกอบนั้น แต่ละเจ้าจะมีสูตรของตนเอง วิธีที่เป็นต้นตำรับโบราณนั้น นิยมผสมกับแป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสำปะหลัง อัตราส่วนตามความเหมาะสม โดยแป้งมันจะทำให้เนื้อเฉาก๊วยนิ่ม (ใส่มากจะเหลว) ส่วนแป้งท้าวยายม่อมจะให้เนื้อเฉาก๊วยคงรูปได้นาน อาจปรับปรุงโดยใส่แป้งข้าวเจ้าเพื่อให้แข็งตัวขึ้น หรือเพิ่มแป้งข้าวเหนียวให้มีความหนุบหนับ หรือใส่ส่วนผสมอื่นๆ ก็ได้ ปัจจุบัน มีผู้ค้าบางรายใส่สีผสมอาหารให้สีดำเข้มบ้าง ใส่วุ้น-เจลาติน เพื่อประหยัดต้นทุนก็มี<br />การรับประทานเฉาก๊วยแต่เดิมชาวจีนจะกินกับน้ำตาลทรายแดง โดยเอามาคลุกกับน้ำตาลให้เข้ากัน คนไทยนำมาดัดแปลงโดยหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ในน้ำเชื่อมและน้ำแข็ง กินกับข้าวโพด ลูกชิด หรือลูกตาลเชื่อมก็ได้[1]<br /><br /><br /><strong>สรรพคุณ</strong><br />เช่นเดียวกับพืชอื่นๆในวงศ์มิ้นท์ เฉาก๊วยมีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ แต่เนื่องจากมีระดับของน้ำมันหอมระเหย และสารออกฤทธิ์ ในระดับที่ต่ำกว่าตระกูลกระเพราเป็นอย่างมาก จึงส่งผลให้เฉาก๊วยไม่มีฤทธิ์ขับลม หรือบรรเทาปวดลดความดัน บำรุงเลือด ลดไข้ ระบบขับถ่ายดี ขับปัสสาวะ แก้อ่อนเพลีย จะช่วยลดความดันในร่างกาย แก้ร้อนใน กระหายน้ำGENGhttp://www.blogger.com/profile/12372490510187400396noreply@blogger.com0